อิตาลี ส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการเอาชนะ เวลส์ 1-0 ทำให้ทีมคว้าชัย 3 เกมรวดในรอบแบ่งกลุ่มชนิดที่ ไม่เสียประตูให้คู่แข่งด้วย

ถือเป็นการปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มที่สมบูรณ์แบบแม้ว่าทีมจะผ่านเข้ารอบไปแล้ว แต่ชุด “สำรอง” ที่ลงเล่นก็ไม่ได้เล่นแบบเหยาะแหยะ ยังเน้นเพื่อโชว์ผลงานส่วนตัวอย่างดีที่สุด

         เรียกได้ว่านอกจาก จานลุยจิ ดอนนารุมม่า, จอร์จินโญ่ และ มาร์โก แวร์รัตติ ที่ปกติเป็นตัวจริง อีก 8 คนที่เหลือเป็นสำรองหมด

         แต่ก็อย่างที่บอกทีมชุดนี้ไม่ได้มีสตาร์ที่เด่นเกินหน้าเพื่อน ทุกคนพร้อมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และลงเล่นแทนกันได้อย่างไร้ที่ติ ทั้งหมดทั้งมวลต้องปรบมือให้ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ผสมผสานทีมชุดนี้อย่างลงตัวจริงๆ

         จุดน่าสนใจจากเกมล่าสุดมีอะไรบ้างลองไปดูกัน

ทีมสำรองปิดจ๊อบ

อย่างที่รู้กันว่า อิตาลี การันตีผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเรียบร้อย ไม่แปลกที่ทีมจะปรับทัพพักตัวหลักและให้ตัวสำรองลงสนาม และเป็นไปตามที่สื่อในแดนรองเท้าบู๊ตคาดการณ์ว่าจะเปลี่ยนแทบยกชุด

         8 นักเตะจากเกมกับ สวิตเซอร์แลนด์ ถูกเปลี่ยนให้ตัวสำรองลงเล่น ซึ่งต้องบอกว่าคนที่ลงเล่นแทนศักยภาพไม่หนีกันนัก โดยเฉพาะในแนวรุกที่ถือว่าดีกว่าคู่แข่งอย่าง เวลส์ ด้วย

         มาร์โก แวร์รัตติ สลัดอาการบาดเจ็บลงเล่นเกมแรกได้หลังจากที่ปกติก็เป็นตัวหลักอยู่แล้ว ส่วนแนวรุก เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี่, อันเดรีย เบล็อตติ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า ยืนสามประสาน

         แผงหลังเปลี่ยนยกชุดเป็น ราฟาเอล โตลอย, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, อเลสซานโดร บาสโตนี่ และ เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ ส่วนคนพังประตูชัยคือ มัตเตโอ เปสซิน่า ที่เป็นสำรองเหมือนกัน

         จากการบันทึกสถิติการเปลี่ยน 8 ตำแหน่งจากเกมเปิดสนามถือเป็นการเปลี่ยนทีมที่มากที่สุดของทัพ “อัซซูรี่” ในรายการใหญ่อย่าง ฟุตบอลยูโรและฟุตบอลโลกเลย

การกลับมาของ มาร์โก แวร์รัตติ

มิดฟิลด์จาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เจอกับปัญหาบาดเจ็บรบกวนมาตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการบาดเจ็บกล้ามเนื้อช่วงต้นซีซั่น จากนั้นก็ยังมาติดเชื้อโควิด เจ็บเท้า กระทั่งล่าสุดมาเต็บเข่าก่อนเริ่มทัวร์นาเม้นต์อีก

         นั่นเป็นเหตุผลที่สองเกมแรกเจ้าตัวไม่ได้ลงสนาม แต่ทาง โรแบร์โต้ มันชินี่ ยังยกให้เจ้าตัวเป็นกองกลางคนสำคัญที่ทีมต้องการใช้งานในทัวร์นาเม้นต์นี้

         และเมื่อฟิตเต็มที่การลงเล่นเกมสุดท้ายก็ถือเป็นโอกาสดีให้ แวร์รัตติ เรียกจังหวะและความพร้อมกลับมาก่อนที่จะเข้าสู่รอบน็อคเอาท์

         ประตูชัยที่ทีมได้ก็มาจากฟรีคิกที่ แวร์รัตติ เป็นคนรับหน้าที่ แถมจังหวะโอเพ่นเพลน์ในเกมนี้ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน โดยผ่านบอลสำคัญ 4 หนและผ่านบอลเข้าเป้าถึง 93 เปอร์เซ็นต์เลย

         ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าฟิตเต็มที่เขาคือกำลังหลักของทีมที่จะช่วยให้แดนกลางของทีมแข็งแกร่งและไปถึงฝั่งฝันในการแข่งขันรายนการนี้

ใบแดงของ อีธาน อัมปาดู

ด้วยศักยภาพที่ที่เป็นรองอยู่แล้ว การสู้แบบโอเพ่นเพลย์อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ เวลส์ ใช้สู้กับ อิตาลี แต่พวกเขาเน้นกับลูกตั้งเตะทั้งฟรีคิกและลูกเตะมุม เป็นความหวังในการทำประตู

         ชัดเจนว่าทีมของ โรเบิร์ต เพจ ไม่ต้องการเสียประตูในเกมนี้เพื่อเข้าป้ายเป็นรองแชมป์กลุ่ม หรือหากจะเสียก็ต้องเสียให้น้อยที่สุด แต่จุดเปลี่ยนของเกมอีกจุดหนึ่งก็คือใบแดงของ อีธาน อัมปาดู

         ในนาทีที่ 55 ของเกมในขณะที่ “มังกรแดง” ตามหลังอยู่แล้วยังต้องมาเหลือ 10 คนเมื่อ อัมปาดู ไปย่ำใส่ เฟเดริโก้ แบร์นาเดสคี่ และผู้ตัดสินก็ตัดสินใจชูใบแดงไล่ออกจากสนามในทันทีเลย

         หลังโดนไล่ออกเจ้าตัวดูผิดหวังอย่างมากทำให้ แกเร็ธ เบล ในฐานะกัปตันทีมต้องเข้ามาปลอบใจในขณะเดินออกจากสนามด้วยน้ำตา

         ด้วยเกมที่ยากอยู่แล้ว ทำให้ทีมยิ่งเน้นเกมเหนียวแน่นมากกว่าเดิม เลยทำให้เกมในช่วงหลังจากนั้นดูจะน่าเบื่อไปสักหน่อย ทำให้โอกาสในการกลับมาตีเสมอของ เวลส์ ก็เป็นไปได้ยากจนในที่สุดก็พ่ายแพ้

         ยังดีที่สุดท้ายทีมยีงเข้าป้ายในรองแชมป์กลุ่มไปครอง ไม่งั้นจังหวะนี้คงเป็นดราม่ามากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

สถิติไม่แพ้ใครนานที่สุดในประวัติศาสตร์

อิตาลี ปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเอาชนะ เวลส์ ทำให้ทีมคว้าชัยสามเกมรวด ยิงไป 7 ประตูและไม่โโนคู่แข่งเจาะตาข่ายเลย ถือเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจแม้จะถูกมองว่าคู่แข่งร่วมกลุ่มนั้นอ่อนชั้นกว่าเยอะ

         อย่างไรก็ตามก่อนหน้าเกมนี้อาจจะดูว่าเกมสุดท้ายทีมอาจจะไม่ได้จริงจังมากนัก เพราะส่วนใหญ่ในบอลทัวร์นาเม้นต์แบบนี้ถ้าทีมเข้ารอบไปแล้ว เกมสุดท้ายจะปรับทัพยกแผงเพื่อเก็บตัวหลักไว้สู้ในรอบน็อคเอาท์

         ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น โรแบร์โต้ มันชินี่ ปรับทัพแทบยกแผง ขนตัวสำรองลงเล่นเต็มที่ แต่ยังก็ทำผลงานได้ดีด้วยการคว้าชัยส่งท้ายไป

         แต่มีอะไรที่อาจจะอยู่เบื้องหลังแรกฮึดนี้ก็คือการที่ทีมไม่แพ้ใครมา 29 เกมติดต่อกัน และเกมนี้ถือเป็นนัดที่ 30 ที่ทีมทำสถิติไร้พ่าย กลายเป็นว่าทีมทำสถิติเทียบเท่าสถิติไม่แพ้ใครยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทำเอาไว้ 30 เกมเท่ากันในช่วงเดือนพฤศจิกายน 1935 ถึงเดือนกรกฎาคม 1939 หรือเกือบ 82 ปีที่แล้วเลย

         ขอแค่รอบ 16 ทีมไม่แพ้ใคร 90 นาที พวกเขาก็จะทำสถิติไม่แพ้ใครยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติครั้งใหม่เลย

ผลงานไร้ที่ติในรอบแบ่งกลุ่ม

ลงสนาม 3 เกม ชนะ 3 เกม ทำได้ 7 ประตูและไม้โดนยิงเลย ทำให้ตอนนี้ อิตาลี คว้าชัยชนะมาแลว้ 11 เกมติดต่อกันแบบไม่เสียประตู และเสียแค่ลูกเดียวเท่านั้นจาก 15 เกมหลังสุด

         ถือเป็นความสำเร็จทั้งเกมรับและเกมรุกที่นอกจากเกมเหนียวแน่นเสียประตูยากก็ยังเจาะตาข่ายคู่แข่งได้อยู่เสมอ

         เป็นการแก้ตัวอันยอดเยี่ยมหลังจากที่ต้องผิดหวังอย่างหนักกับการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 เล่นเอาแฟนบอลในประเทศแทบจะหมดศรัทธา ไม่เหลือคราบยอดทีมที่ไม่ว่าใครเจอกับต้องกลัว

         นั่นทำให้การแข่งขันในครั้งนี้ทีมถูกมองข้ามไปเหมือนกัน แต่อย่างที่เห็น พวกเขาคือทีมที่ดีที่สุดจนถึงตอนนี้และขึ้นมาท้าทายการลุ้นแชมป์อย่างเต็มปาก

         บอกได้เลยว่านาทีที่ไม่ว่าใครเจอกับ อิตาลี ก็คงต้องมีหนาวเหมือนอย่างเมื่อทศวรรษก่อนแน่นอน

คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านเพิ่มเติม >>> บ้านผลบอล