เดือนแรกของปีใหม่ผ่านไป 10 วันแล้วนะครับ

และนั่นหมายความต่อมาว่าตลาดการซื้อขายตัวผู้เล่นรอบ 2 ของฤดูกาล หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ตลาดหน้าหนาว” ผ่านไปแล้ว 10 วัน

ถึงตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ผู้เล่นใหม่มาร่วมทัพเป็นจำนวน 0 คน โดยเหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 สัปดาห์ให้ไล่ล่า

ถามว่าพวกเขาต้องการผู้เล่นใหม่มาเสริมสร้างความแข็งแกร่งพลางซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอหรือเปล่า ???

อยากตอบแบบนี้ครับว่า…พวกมึงจะรอแมวน้ำอะไรอยู่อีกล่ะครับ

เพราะดูจากสภาพของทีมและสถานการณ์ของทีมตอนนี้ หากไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่อยากกลับไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และไม่อยากประสบความสำเร็จ หรือขอแค่ประคองตัวให้อยู่แถวๆ กลางตารางไปจนจบฤดูกาลแบบไม่เดือดร้อนก็สามารถปล่อยให้เวลาผ่านไปจนครบเดือน โดยที่มึงไม่ต้องซื้อเพิ่มก็ได้ครับ

แต่หากอยากให้ผลงานของทีมตัวเองไฉไลขึ้นกว่าเดิม มันก็ต้องยอมวอดวายครับ

แถมไม่ใช่วอดวายแค่ตัวเดียวด้วย คำนวณดูแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการผู้เล่นใหม่มาเสริมทัพอีกอย่างต่ำๆ ถึง 3 คนด้วยซ้ำ

ตอนแรกไม่ขออะไรมาก ระยะสั้นๆ แบบนี้เอามาเพิ่มแค่ 2 หน่วยก็น่าจะพอเพียง แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ดาวเตะระดับเสาหลักอย่าง สก๊อตต์ แม็คโทมิเนย์ ถูกอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าลักพาตัวไปจนหมดสิทธิ์ลงสนามตลอดเดือนมกราคมค่อนข้างแน่

เท่านั้นไม่พอ

ปอล ป็อกบา ที่อุตส่าห์หายเจ็บกลับมาลงเล่นเป็นตัวสำรองได้ 2 นัด ก็มีอันต้องกลับไปขึ้นเขียง เพื่อเข้ารับการผ่าตัดไปเรียบร้อยอีกคน หมดสิทธิ์ลงสนามไปอีกอย่างน้อยๆ 2-3 เดือน

หมายความว่าตอนนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีผู้เล่นในแผนกมิดฟิลด์ตัวกลางให้เลือกใช้แค่ 4 คน คือ เฟร็ด, เนมานย่า มาติช, อันเดรียส เปเรยร่า และดาวรุ่งที่ไร้ประสบการณ์อย่าง เจมส์ การ์เนอร์

มิดฟิลด์ตัวกลางจึงกลายเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่ต้องการอย่างเร่งด่วน

    “หน้าต่ำ” หรือผู้เล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 ซึ่งในระบบ 4-2-3-1 ผู้เล่นตำแหน่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นตัวสร้างสรรค์เกมรุก ทว่าเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน 3 คน คือ เจสซี่ ลินการ์ด, อันเดรียส เปเรยร่า และ ฆวน มาต้า สมควรไปขายเต้าฮวยทั้ง 3 ตัว เอ๊ย! 3 คน

ส่วนอีกตำแหน่งหนึ่งคือกองหน้าตัวเป้า

ในทีมปีศาจแดงชุดนี้มีดาวเตะที่สามารถลงเล่นในตำแหน่งหัวหอกทั้งหมด 3 คน คือ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เมสัน กรีนวู๊ด

ปัญหาคือทั้ง 3 เหมือนจะไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าตามธรรมชาติ

มาร์คัส แรชฟอร์ด ถูกขยับออกไปเล่นเป็น “หน้าซ้าย” จนเคยชินกับตำแหน่งนี้ไปแล้ว เมื่อเอากลับมาเล่นเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิมก็มักจะทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ – สู้การลากเลื้อยและมุดตัดเข้ามาจากทางซ้ายไม่ได้

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คือตัวหลักของตำแหน่งหัวหอกในปัจจุบัน แต่ก็สังเกตได้ว่าเขาไม่ค่อยมีสัญชาติญาณของกองหน้าตัวเป้าที่ต้องโฉบเข้าหาลูกที่เปิดมา หรือเข้าชาร์จหน้าประตูเหมือนกองหน้าในความหมายของกองหน้าทั่วๆ ไปสักเท่าไหร่

เมสัน กรีนวู๊ด เป็นกองหน้าเก่า ตอนเล่นให้ทีมโรงเรียนลูกกรอกคะนองก็เป็นหัวหอก แถมเป็นผู้เล่นที่สับไกยิงประตูได้เฉียบคมและเด็ดขาดดีนักแลที่สุดในทีมชุดปัจจุบัน ต่อเมื่อถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ เจ้าหนูสิงห์นักเตะผู้นี้ถูกจับไปเล่นเป็น “หน้าขวา” ซะมากกว่า

ครั้นจะให้รับผิดชอบในตำแหน่งศูนย์หน้าก็ดูเหมือนว่าผู้เป็นกุนซือจะยังไม่ค่อยไว้อกไว้ใจมากนัก

พูดง่ายๆ ว่าทั้ง 3 สามารถสวมบทของกองหน้าตัวเป้าได้นั่นแหละ เพียงแต่ยังไม่สะเด่าพอเท่านั้นเอง

การปล่อย โรเมลู ลูกากู ออกจากทีมตอนก่อนเปิดฤดูกาลยิ่งทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องหาผู้เล่นในตำแหน่งนี้มาทดแทน เพื่อให้ตัวเองมีทางเลือกในการจัดทีมมากขึ้น

อนิจจา…ดาวเตะผู้เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขามาตลอดอย่าง เออร์ลิ่ง เบราต์ ฮาแลนด์ ตัดสินใจย้ายไปสวมเครื่องแบบเสือเหลืองกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พลางยักไหล่ใส่ปีศาจแดงแบบไม่แยแสซะอย่างนั้น

    สรุปว่ามิดฟิลด์ตัวกลาง, หน้าต่ำ และกองหน้าตัวเป้า คือ 3 ตำแหน่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังต้องการอย่างยิ่งยวดในเดือนนี้เลย ไม่ใช่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้วรอให้ถึงช่วงซัมเมอร์

อย่างไรก็ตาม

จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรที่ชัดเจนออกมาจากทางสโมสรสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์

เข้าใจครับว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะเวลาในการพิจารณาและเจรจามีค่อนข้างจำกัด แถมการ “ตระหนกซื้อ” แบบนี้ย่อมมีอัตราความเสี่ยงต่อความบรรลัยแบบสูงลิบลิ่วอีกต่างหาก

หากรีบร้อนและลนลานจนเกินเหตุมีโอกาสเจ็บตัวค่อนข้างสูง

บทเรียนล่าสุดคือการกระชากตัว อเล็กซิส ซานเชซ มาร่วมทัพ เมื่อเดือนมกราคม 2018 โดยไม่ยอมใช้หัวแม่ตีนตรึกตรองให้ถี่ถ้วน

เพราะตอนไปคว้าตัวดาวเตะตีนไฟผู้นี้มาจาก อาร์เซน่อล – ฟอร์มการเล่นและมาตรฐานของเขาเริ่มตกลงไปจากเดิมแล้ว มิหนำยังอายุมากอีกต่างหาก

เมื่อเลื้อยตูดมาที่โรงละครแห่งความฝันแล้วก็อย่างที่ทราบกันดีนั่นแหละ

    นี่คือ “บทเรียน” ที่มีราคาแพงแบบสุดฤทธิ์ เพราะค่าเหนื่อต่อสัปดาห์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องจ่ายให้ “ชายเล็ก” มันไม่ต่างจากการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเล่น

ทวนเข็มนาฬิกากลับไปในอดีต

ณ ขณะโน้น ฟุตบอลอังกฤษยังไม่มีการแบ่งตลาดการซื้อขายตัวผู้เล่นออกเป็น 2 ช่วงเหมือนในยุคปัจจุบันนะครับ คืออยากจะซื้อและอยากจะขายกันตอนไหนก็สามารถทำได้ตลอดทั้งปีแบบไม่มีเส้นตาย

ตลาดหน้าหนาวเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อฤดูกาล 2002-03 โดยตลอดทั้ง 16 ซีซั่นที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด เคยคว้าผู้เล่นใหม่ในช่วงเดือนมกราคมมาร่วมทีมแค่ 15 คนเท่านั้น

บันทึกว่าผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทีมปีศาจสามง่ามซื้อตัวมาในช่วงตลาดหน้าหนาวคือนายทวารชาวสเปนอย่าง ริคาร์โด้ โดยลากตัวมาจาก เรอัล บายาโดลิด ในราคา 1.5 ล้านปอนด์

ว่าแล้วไปดูกันว่าในฤดูกาลต่อๆ มามีผู้เล่นคนใดบ้างที่ยอมขายวิญญาณให้ปีศาจแดงในช่วงตลาดหน้าหนาวแบบนี้

2003-04: ตง ฟาง โจว กับ หลุยส์ ซาฮา

2004-05: ไม่มี

2005-06: เนมานย่า วิดิช กับ ปาทริซ เอวร่า

2006-07: ยืมตัว เฮนริค ลาร์สสัน มาช่วยล่าประตูในระยะสั้นๆ แค่เดือนเดียว

2007-08: มานูโช่

2008-09: โซรัน โทซิซ กับ ริชชี่ เดอ เลต

2009-10: ไม่มี

2010-11: อันเดอร์ส ลินเดการ์ด

2011-12: เฟเดริก วาเซลี่ (กองหลังชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่เคยลงเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เลยสักนัด)

2012-13: วีลฟรีด ซาฮา (เซ็นสัญญาล่วงหน้า แต่ปล่อยให้ต้นสังกัดเดิมอย่าง คริสตัล พาเลซ ใช้งานจนจบฤดูกาล)

2013-14: ฆวน มาต้า

2014-15: บิคตอร์ บัลเดส

2016-17: ไม่มี

2017-18: อเล็กซิส ซานเชซ

2018-19: ไม่มี

ufabet

    สังเกตเห็นอะไรไหมครับ ???

ถ้าไม่เห็น ผมจะบอกให้ว่าส่วนใหญ่เป็นการซื้อตัวมาแบบไม่ได้หวังผลทันที

ประมาณว่าในเมื่อตลาดเปิดหรือในเมื่อมีโอกาสก็เซ็นสัญญากันไว้ก่อน ไม่ได้หวังว่าจะเอามาเพื่อแก้ปัญหาโดยฉับพลัน

ยกตัวอย่างกองหน้าสัญชาติมังกรอย่าง ตง ฟาง โจว ที่ใครๆ ก็มองออกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เอานักเตะหน้าตี๋ผู้นี้มาเพื่อเปิดตลาดในเมืองจีนซะมากกว่า

หรือนักเตะโนเนมอย่าง มานูโช่ กับ โซรัน โทซิซ ที่ซื้อมาแล้วก็แทบไม่ได้ใช่งานอย่างจริงจังสักเท่าไหร่ นอกนั้นก็จัดอยู่ในประเภทผู้รักษาประตูมือ 2 หรือมือ 3 อย่าง ริคาร์โด้, อันเดอร์ส ลินเดการ์ด และบิคตอร์ บัลเดส ที่เอามาสำรองไว้แบบเผื่อเหลือเผื่อขาด

แม้กระทั่งกองหลังในตำนานอย่าง เนมานย่า วิดิช กับ ปาทริซ เอวร่า ที่กระชากตัวมาร่วมทีมด้วยหวังผลในระยะยาวมากกว่า แถมตอนแรกที่ย้ายมาทั้งคู่ก็ยังปรับตัวให้เข้ากับทีมไม่ได้ ขณะที่ วิลฟรีด ซาฮา ก็ถือเป็นการซื้อมาเตรียมไว้ในอนาคต

ส่วนไอ้ที่ดึงตัวมาเพื่อแก้ไขปัญหาและแก้ไขสถานการณ์แบบทันท่วงทีนั้นมีอยู่เพียงแค่ 3 หน่อเท่านั้น

1. หลุยส์ ซาฮา

2. ฆวน มาต้า

3. อเล็กซิส ซานเชซ

ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นการซื้อที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า “Panic Buy”

    นักเตะประเภทนี้ค่าตัวจะแพงกว่าปกติ เนื่องจากเป็นการซื้อแบบแดกด่วน ต้นสังกัดเดิมสามารถโขกได้อย่างเต็มที่

หลุยส์ ซาฮา ถูกกระชากมาจาก ฟูแล่ม ด้วยค่าตัว 12.8 ล้านปอนด์ เพราะตอนนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังบดบี้กับ อาร์เซน่อล โดยที่สถานการณ์ในพรีเมียร์ลีกไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงต้องการเพิ่มประสิทธิ์ภาพในเกมรุก เพื่อป้องกันแชมป์

เช่นเดียวกับ ฆวน มาต้า ที่นั่งเฮลีคอปเตอร์จากลอนดอนมาลงที่ศูนย์ฝึกแคร์ริงตัน เนื่องจากตอนนั้น พลพรรคปีศาจแดงจากการทำงานของ เดวิด มอยส์ กลายสภาพจากแชมป์เก่าเป็นทีมระดับกลางตารางอย่างน่าอดสู

ดาวเตะคนล่าสุดที่ได้ตัวมาในช่วงตลาดหน้าหนาวอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ก็เป็นการเอามาแบบเสียมิได้ ด้วยเจ้าตัวไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมปืนโต เบื้องบนของ แมนฯ ยูไนเต็ด เห็นเป็นโอกาสดีจึงยอมเอา เฮนริค มคิทาร์ยาน ไปแลก พร้อมทุ่มค่าเหนื่อให้อย่างมโหฬารถึงสัปดาห์ละ 5 แสนปอนด์

หากดูจากประวัติที่ผ่านๆ มาในแต่ละฤดูกาล คุณจะพบว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยซื้อผู้เล่นแบบด่วนแดกในช่วงตลาดหน้าหนาวมากกว่า 1 คน

ทว่าสถานการณ์นี้ พวกเขากลับต้องการนักเตะใหม่อย่างต่ำๆ ถึง 2-3 คน

อืมมมมม…แล้วมันจะไปได้อะไร

เรียนตามตรงนะครับว่าถ้าเอามาได้แค่คนเดียวก็เก่งแล้ว แถมเอามาแล้วยังต้องมาลุ้นต่ออีกขยักว่าผู้เล่นคนนั้นจะระเบิดฟอร์มอันยอดเยี่ยมของตัวเองออกมาได้หรือเปล่า ???

นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากหัวเราะออกมาเป็นภาษามอนเตเนโกร

เหมือนอย่างที่ไอ้อ้วนเบาหวาน มิโน่ ไรโอล่า มันเพิ่งจ้วงจึกถึง แมนฯ ยูไนเต็ด เอาไว้เมื่อหลายวันก่อน

“ผมจะไม่มีวันยอมให้นักเตะในความดูแลของตัวเองไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกแล้ว เพราะที่นั่นมีแต่จะทำลายนักเตะ ต่อให้ยอดดาวเตะอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า , เปเล่ หรือ เปาโล มัลดิโน่ ไปอยู่ ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จหรอก”

“ปัญหาของพวกเขาคือไม่เคยยอมรับความจริง แถมไม่มีแผนงานด้านการพัฒนาที่ดีพออีกต่างหาก แต่ไอ้ที่ทำให้ผมโมโหอย่างจงหนักคือการทำให้ ป็อกบา กลายเป็นผู้เล่นที่มีสภาพจิตใจแย่จากการโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน นักเตะอย่างเขาต้องเป็นระดับผู้นำเหมือนตอนอยู่ ยูเวนตุส แต่สโมสรแห่งนี้กลับกีดกันทุกอย่างทั้งที่จริงควรย้ายทีมตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมาแล้ว”

รู้ทั้งรู้ว่าการซื้อตัวผู้เล่นในช่วงตลาดหน้าหนาวนั้นมันทั้งยากและเสี่ยง

แต่ก็อย่างที่เอเย่นต์ของ “คุณป็อก” มันสำรากเอาไว้นั่นแหละครับ

แผนการพัฒนาของสโมสรแห่งนี้มันห่วยแตกสิ้นดี !!!

 

อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> www.ufabetwinS.com

หน้าแรก >>> https://www.printprice.net